เทศน์เช้า

ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์

๒๗ ก.พ. ๒๕๔๓

 

ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เห็นไหม วันนี้วันพระนะ เราพูดถึงพระยสะกับพระพุทธเจ้าเปรียบเทียบกันบ่อยเลย เพื่อจะให้เรานี่มีกำลังใจไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ต้องปฏิบัติธรรม ๖ ปีกว่าจะพ้นจากทุกข์ ทรมานมาก ความที่ว่าอุกฤษฏ์ขนาดไหนในสมัยนั้นนะ ไม่มีใครทำได้เหมือนพระพุทธเจ้า ในความอุกฤษฏ์ของโลกที่ประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครอุกฤษฏ์เกินพระพุทธเจ้า ในการโดนโลกธรรม ๘ โดนติฉินนินทา ไม่มีใครโดนเท่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทำมามากกว่าเพื่อนเลย ๖ ปีนะกว่าจะสำเร็จมา

พระยสะได้ฟังเทศน์คืนนั้นเป็นพระโสดาบัน แล้วบังไว้ไง “ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่เดือดร้อนหนอ” ออกจากปราสาทไป เดินไปเพราะมันเบื่อหน่ายโลก ไม่มีทางไป เบื่อหน่ายก็เดินไป

พระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ “ยสะ! ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่เดือดร้อน มาที่นี่ ที่นี่โล่ง ที่นี่ว่าง ที่นี่สบาย” เทศน์สอนนะ มีดวงตาเห็นธรรม เห็นไหม

แล้วพ่อตามมา มาเห็นรองเท้าอยู่ รองเท้าของลูกอยู่นั่นแต่ไม่เห็นลูก เพราะพระพุทธเจ้าบังไว้ เทศน์โปรดพ่อไง พ่อเป็นพระโสดาบัน พระยสะเป็นพระอรหันต์เลย เห็นไหม คืนเดียวฟังเทศน์ ๒ หนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย

ถึงบอกว่าในแง่ของที่ว่าความสะดวกสบายไง ในแง่ของพวกเราอยากจะสะดวกอยากจะสบาย ก็ยกพระยสะขึ้นมาว่าแม้ฟังเทศน์คืนเดียวสำเร็จไปเลย พาหิยะ เห็นไหม ฟังเทศน์หนเดียว ขนาดที่ว่าพระพุทธเจ้าบิณฑบาตอยู่ สำเร็จวันนั้นเลยนะ

อย่างนี้เราบอกว่า เพราะพวกนี้มันสำเร็จได้ง่าย เรายกเป็นตัวอย่างว่าสำเร็จได้ง่าย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ต้อง ๖ ปี ทุกข์มาก มันก็เหมือนกับดาวเคราะห์กับดวงอาทิตย์นะ ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์นั้นมีแรงดึงดูดไหม? ดาวเคราะห์นั้นเปล่งประกายแสงในตัวเองไหม? ดาวเคราะห์ไง

ถ้าดาวเคราะห์ ถ้าพระยสะ พาหิยะไม่เจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรรค เห็นไหม ธรรมฝ่ายเหตุไง อาจารย์มหาบัวบอกว่า “ธรรมฝ่ายเหตุมีเสื่อมไปชั่วคราว แต่ธรรมะไม่เคยเสื่อม คือพระนิพพานของหัวใจของพระอรหันต์ทุกๆ องค์ไม่มีวันเสื่อม อยู่อย่างนั้นตลอดไป”

แต่ธรรมฝ่ายเหตุที่พระพุทธเจ้าวางไว้ให้เราก้าวเดินนะ ในอริยสัจ ในมรรค ในศีล สมาธิ ปัญญานี่ไม่มีใครพูดได้ ไม่มีใครรู้ทางเดินเข้าไปหาธรรม ธรรมอันนี้ธรรมฝ่ายเหตุ เห็นไหม อันนี้มีการเสื่อมมีการสูญไป

พระยสะ พาหิยะ หรือใครก็แล้วแต่ มันมาเจอธรรมฝ่ายเหตุนี้ไง ถ้าไม่เจอธรรมฝ่ายเหตุ จะเอาอะไรเข้าไปหาธรรมอันนั้น แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เห็นไหม พระอาทิตย์ไง

“ดาวฤกษ์กับดาวเคราะห์” ดาวฤกษ์มันเปล่งแสงในตัวมันเองได้โดยธรรมชาติของมัน พระปัจเจกพุทธเจ้ามานะ ตรัสรู้เอง สาวกะๆ ความเสมอกันด้วยธรรมที่เสมอกันนั้นถูกต้อง ความเสมอกัน แต่จะต่างกันมาก พูดแล้วมันน่าเสียวสันหลังนะ เสียวยอกมากเลย ถ้าไม่เจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกนี้จะรู้อะไร? เป็นไปไม่ได้เลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นดาวฤกษ์ เห็นไหม เปล่งประกายในตัวเองเพราะสร้างสมบารมีมามหาศาล เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงได้ตรัสรู้เองโดยชอบไง จะมีใครไม่มีใครก็ตรัสรู้ได้โดยแน่นอน แต่ผู้ที่เป็นสาวกนี่ถ้าไม่มีเป็นไปไม่ได้

มันถึงว่าถ้าพูดถึงวาสนาก็เป็น ๒ ชั้นอีกล่ะ หนึ่ง เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เห็นไหม เราเป็นสาวกะ แล้วต้องมีใจ ใจนี่คือโอกาส เห็นไหม นี่คนดีพาเกิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ประเสริฐมาก แต่ผู้ที่เราพาเกิด นี่เป็นลาภ ๒ ชั้นนะ เกิดเป็นมนุษย์นี่แสนยาก แล้วคนดีพาเกิด ความคิดมันจะออกมาในดี ลูกเราหลานเรานี่ เราปกครองง่ายเพราะอะไร? นี่คนดีพาเกิด

ถ้าคนไม่ดีพามาเกิดนะ มันพูดไม่ฟัง โอกาสในความคิดของเขาไม่มี เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วออกประพฤติปฏิบัติ แล้วเชื่อธรรมฝ่ายเหตุนั้น ธรรมฝ่ายเหตุนั้นพาเข้าหา

นี่ก็เหมือนกัน เกิดเป็นมนุษย์ บวชเป็นพระ เห็นไหม อยากบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระไปแล้วต้องบวชใจอีกชั้นหนึ่ง บวชเป็นพระเพราะว่านี่ธรรมฝ่ายเหตุ พระพุทธเจ้าแยกออกมาจาก...คือว่าคฤหัสถ์ทางอันคับแคบ คับแคบเพราะไม่มีทางจะเดินไปใช่ไหม? ให้มาเป็นนักบวชซะ นักบวชนั้น หน้าที่ของนักบวชมีอย่างเดียวคือการหักออกจากกิเลสให้ได้ไง บวชอีกทีหนึ่ง บวชให้มันสมขึ้นมา

เวลาสึกไป เห็นไหม เวลาอยากจะสึก พอสึกออกไปก็พ้นจากไง เราเกิดเป็นมนุษย์ เราตายไป แต่บวชเป็นพระ เวลาบวชนี่เกิดอีกชั้นหนึ่ง เห็นไหม เราเคยเป็นคฤหัสถ์ บวชเป็นพระ เกิดเป็นพระ เห็นไหม เป็นเพศของพระ พอเราสึกไปก็ตายออกจากนั้นไป นี่โอกาสการคิด โอกาสที่จะเป็นไป โอกาสที่เข้าไปหา นี่คนบุญพาเกิดไง

คนบุญพาเกิดมันใฝ่แต่ตรงนี้ มันใฝ่ในทางธรรม มันใฝ่ในทางที่จะพ้นออกจากทุกข์ให้ได้ นี่โอกาสสำคัญมากเลย

ทีนี้พระยสะ เห็นไหม ถึงว่าเจอพระพุทธเจ้านี่เป็นโอกาส

นี้ย้อนกลับมาที่ว่าทำไมมีความสนใจ? ทำไมฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วทำไมเข้าใจแล้วตามไป?

ตอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มาใหม่ๆ แล้วมีมาณพที่สวนไป เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่น่าเคารพเลื่อมใสมาก กิริยานุ่มนวลมาก ถามเลยว่า “ใครเป็นศาสดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ไม่มี เราตรัสรู้เองโดยชอบ” เห็นไหม สั่นหน้าแล้วหลีกไป แต่สุดท้ายแล้วเขาก็กลับมาบวชเหมือนกันเพราะเขาได้เจอ สุดท้ายไปทุกข์ทรมานก่อน แต่พระยสะฟังแล้วเข้าใจ ตามไปเลยนะ ถึงย้อนกลับมาดูไง

พระยสะนี้แต่เดิมในชาติหนึ่งเคยเก็บศพ นี่ไงเป็นผู้เก็บศพ เก็บศพมันเป็นไปง่ายไหม? มันเป็นไปได้ยาก เป็นสิ่งที่เขาขยะแขยงกัน แล้วมันทิ้งให้เป็นความเดือดร้อนของคนอื่น เป็นที่ยอกนะ เป็นคนทำความกังวลใจของผู้อื่น แบกรับภาระนี่ แบกรับภาระ ทำคนแรกทำด้วยตัวเองก่อน แล้วก็มีเพื่อนมีสหายอีก ๕๔ คนที่มาทำตาม

ฉะนั้น พระยสะเวลาออกบวชแล้ว หมู่คณะที่เคยสร้างสมบารมีมาด้วยกันนะ คอยฟังข่าวอยู่ในชนบท ได้ข่าวว่าพระยสะบวชก็มาบวชตาม ๕๔ องค์เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทั้งหมดเลย แต่ทำด้วยความเป็นไปด้วยยาก เห็นไหม อันนั้นเป็นอันนั้น เพราะทำมาเพื่อหาเหตุ

อย่างเราจะเดินทาง เห็นไหม เราต้องซื้อเช็คต้องอะไรเพื่อจะหาเงินเพื่อเดินทางไป อันนั้นก็เหมือนกัน ทำบุญกุศลมา บุญกุศลสร้างสมบารมีขึ้นมาเพื่อให้เข้าใจตรงนี้ ให้มีความน้อมนำไปเพราะ! เพราะไม่มีศาสนา สมัยที่ยสะเป็นคฤหัสถ์นะไม่มีศาสนา ทำความดีแค่นี้เป็นความดีทั้งหมด

แต่ปัจจุบันนี้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ไงถ้าเราทำถึงตรงนี้ได้ พระยสะทำมาก็เพื่อจะมาตรัสรู้ธรรมไง มาตรัสรู้ธรรมแต่ก็ต้องอาศัย เพราะว่าสร้างสมบารมีมาไม่เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นดาวฤกษ์ อันนี้เป็นดาวเคราะห์ ต้องได้ยินได้ฟัง สาวกะต้องได้ยินได้ฟัง

แต่ปัจจุบันนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีอยู่พร้อมไง การมีอยู่พร้อม เราเข้าได้โดยเดี๋ยวนี้ไง ไม่ต้องอ้อมไปไง ไม่ต้องอ้อมตาม ไม่ต้องมีสื่อ แต่ถ้าไม่มีอยู่ บารมีเราไม่พอ มันเป็นไปไม่ได้ มรรคฝ่ายเหตุ ธรรมฝ่ายเหตุที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานวางไว้ นี่ธรรมฝ่ายเหตุไม่มี คือไม่มีปฏิปทาเครื่องดำเนิน ไม่มีปฏิปทาการจะเข้าหา แล้วเราจะเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้

ความเป็นไปไม่ได้อันนั้นมันก็หมดโอกาสไง ถ้าเกิดมาไม่พบพระพุทธศาสนาหมดโอกาสตรงนั้นไป แต่นี่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เพราะเขาสร้างสมบุญบารมีมา

ย้อนกลับมาที่เรา ถ้าเราไม่ได้สร้างสมบารมีมา เราก็จะไม่รู้ธรรมล่ะสิ เราจะเป็นไปอย่างนั้นได้อย่างไรเพราะเราไม่มีวาสนาบารมีมา? ถ้ามีวาสนาบารมีมา ทำไมใฝ่ล่ะ? ทำไมสนใจล่ะ? ทำไมใฝ่เข้ามา? ใจมันเปิดเข้ามา ใจมันเปิดเข้ามา

อันนี้ต้องมีวาสนาบารมี ตรงนี้มันมาเป็นการที่ว่าเป็นกิเลสหยาบๆ ไง กิเลสหยาบๆ คือกิเลสลูกๆ หลานๆ กิเลสความคิดย็อบๆ แย็บๆ ขึ้นมาในใจไง คนนั้นเขามีวาสนาบารมีมา การจะตรัสรู้ธรรมต้องสร้างวาสนามาเป็นกี่กัปๆ เห็นไหม นั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ของเรานี่ ถ้าไม่มีวาสนาอันนั้นมา มันจะไม่เข้ามาตรงนี้หรอก มันจะไม่มีความสนใจอย่างที่ว่าพระยสะสนใจ เห็นไหม กับที่ว่ามาณพนั้นไม่สนใจ เขาไม่สนใจ เขาต้องไปโดนทุกข์โดนร้อน โดนหอกโดนหลาวทิ่มแทงหัวใจก่อน ให้เจ็บปวดแสบร้อนจนไม่มีทางออก เขาถึงย้อนกลับมาหานี่

นี่เหมือนกัน มันน่าเสียวตรงที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินไป เห็นไหม ใน แคว้นอาฬวีหรือไงที่ว่าไปเจอคหบดี ๒ คนระหว่างตากับยายไง แล้วยิ้มอยู่ พระอานนท์เห็นพระพุทธเจ้ายิ้มนี่ต้องมีเหตุ ตกเย็นจึงถามว่า “ยิ้มเพราะเหตุอะไร?”

“ถ้าตายาย ๒ คนนั้นเคยพบพระพุทธเจ้าก่อน ถ้าได้พบพระพุทธเจ้าจะได้เป็นพระอนาคามีอย่างต่ำ” แต่ปัจจุบันนี้ก็เจอพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่ไม่ได้เป็นพระอนาคามีเพราะ! เพราะว่าเขาเป็นคหบดีมาก แล้วเขาได้เล่นติดการพนัน ได้เล่นจนหมดเนื้อหมดตัวไป จนหมดเนื้อหมดตัวกลายมาเป็นยาจกเข็ญใจมาขอทานเขาอยู่ ๒ คนตายายนะเป็นเศรษฐีเก่า

นี่ก็เจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่! แต่หัวใจไม่เปิด ถ้าเป็นคหบดีเก่า หัวใจมันยังว่างอยู่ หัวใจมีความสุขอยู่ หัวใจยังพอจะเป็นไป หัวใจนิ่มนวลควรแก่การงาน เห็นไหม เขาจะปั้นดิน ดินนี่ควรแก่การงาน จะปั้นดินขึ้น แต่หัวใจดวงนี้มันทุกข์ยากอยู่ มันทุกข์ยากมันก็ปิดหัวใจ คือว่าติเตียนแต่ตัวเอง มีแต่ความเร่าร้อนในใจ มันไม่ฟังอะไรคือมันกระด้าง ดินมันแข็ง ดินไม่เคยโดนน้ำเลย เอาดินอย่างนั้นมาปั้นโอ่งมันปั้นขึ้นมาไม่ได้

นี่วาสนาของเขา เห็นไหม พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่! แต่กาลเวลา

ถึงว่าพุทธกิจ ๕ นะ พระพุทธเจ้าจะเอาใครก่อน ตอนเช้านี่ ตี ๔ เห็นไหม เล็งญาณก่อน พอว่าเช้านี่จะเอาใครก่อน พอเช้าขึ้นมาก็ไปบิณฑบาต ตอนไปบิณฑบาตนี่ไปโปรดสัตว์ นี่โปรดสัตว์ พุทธกิจ ๕ เช้าออกบิณฑบาตๆ แต่ก่อนออกบิณฑบาตต้องเล็งญาณก่อน

ย้อนกลับมาที่มาณพนั้น เห็นไหม เจอพระพุทธเจ้าก่อนแล้วไม่ฟัง ออกไปก่อน ไปมีครอบครัว ก็โดนภรรยาเอ็ดทุกวัน มาแต่ตัวๆ ไง โดนเอ็ดอยู่ทุกวัน จนเห็นไหม ต้องไปโดนหอกโดนหลาวปักเสียบใจไง ให้เจ็บปวดแสบร้อนก่อนไง ค่อยพลิกกลับมา อันนี้จากนั้นพลิกกลับมาก็มาบวชก็สำเร็จเหมือนกัน อยู่ในพระไตรปิฎกแต่จำชื่อไม่ได้ มาณพคนนี้ คนที่ว่าเจอพระพุทธเจ้าทีแรกสั่นหัว ไม่รับ ไม่เข้าใจ แต่ออกไปก่อน ต้องไปเจ็บปวดก่อน ต้องโดนบีบคั้นขึ้นมา

ในมุมกลับกัน คหบดีนี้เหมือนกัน ใจทีแรกนะ ใจทีแรกดีอยู่ ถ้าพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนก็จะได้อย่างน้อยเป็นพระอนาคามี นี่พระพุทธเจ้าพูดนะ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ได้ เห็นไหม

ย้อนกลับมาที่ใจ ย้อนกลับมาที่โอกาส ย้อนกลับมาที่เรา ถ้าเรารักษาความศรัทธาของเรา เรารักษาใจของเรา แล้วเราเปิดใจของเรา เห็นไหม เราเชื่อไง เชื่อนรกเชื่อสวรรค์ อันนี้มันก็ว่าทำความชั่วมันก็ไม่อยากทำแล้ว มันกลัว มันเสียวสันหลัง

นรกสวรรค์ มรรคผลนิพพานก็มี เห็นไหม มรรคผลนิพพานปัจจุบันนี้ทำได้หมด เพราะ! เพราะธรรมฝ่ายเหตุวางไว้ครบ อริยสัจ เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนี่สำคัญที่สุด อริยสัจนี่สำคัญมากเลย ทุกข์เป็นความจริงแต่ไม่เคยเห็นทุกข์ เลยเห็นแต่เงาของทุกข์ไง บ่นต่อเมื่อทุกข์ไปแล้ว เราไม่เคยบ่นทุกข์ขณะที่ทุกข์หรอก มันต้องผ่านไปแล้วนะ สิ่งนั้นไม่ดีเลย สิ่งนี้ไม่ดีเลย ทุกข์ต่อเมื่อเราบ่นกันได้แค่เงา เราจับเงาแล้วเราสาวเข้าไปไม่ถึงตัวของทุกข์ เราไม่เห็นทุกข์

สมุทัย ตัณหาความทะยานอยากก็ไม่รู้ เห็นไหม ความดับของมันก็ไม่ เพราะมรรคนี้เราใช้ไม่เป็น ธรรมฝ่ายเหตุพระพุทธเจ้าวางไว้ใช้ไม่เป็นไง เวลาพูดเรื่องมรรคก็ว่าสัมมาอาชีวะ ประกอบอาชีพชอบ เห็นไหม ประกอบอาชีพชอบนี้เป็นธรรมของคฤหัสถ์ มันไม่ได้เป็นโลกียะ

แต่ถ้าเป็นโลกุตตระเลี้ยงอารมณ์ชอบไง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่หวั่นไหวในหัวใจ เห็นไหม ในหัวใจกินอารมณ์มาเป็นอาหาร ความละเอียดของมรรคมันจะละเอียดเข้าไป เห็นไหม โลกียมรรค โลกุตตรมรรค

โลกุตตรมรรคก็ยังมรรค ๔ ผล ๔ นี่ยกขึ้นไปๆ ยกวุฒิภาวะของใจสูงขึ้นไปๆ วุฒิภาวะของใจเขาก็สูงขึ้น ธรรมฝ่ายเหตุอันนี้มีการเสื่อมไป คนจำแล้วคลาดเคลื่อนไป ธรรมฝ่ายเหตุนี้มีการเสื่อมการสูญสลายไปเป็นบางครั้งบางคราว หมดยุคหมดสมัยของศาสนาไง

เวลาศาสนามันเสื่อมไปๆ เสื่อมเพราะความไม่เชื่อ แต่ธรรมนั้นมีอยู่ ความมีอยู่อันนั้นแน่นอนคงตัวอยู่ แล้วเราเกิดมาพบธรรมฝ่ายเหตุนี่สำคัญมากนะ เราเกิดมาพบธรรมฝ่ายเหตุ คือเราเกิดมาพบปฏิปทาเครื่องดำเนิน มัคคอริยสัจจัง เห็นไหม พบตลอด

เพียงแต่ว่าเราตีความผิดเป็นมรรคหยาบๆ พอมรรคหยาบๆ เราทำไป ผลมันถึงไม่เกิดขึ้น ผลไม่เกิดขึ้นว่าสัมมาอาชีวะ เห็นไหม ก็ว่าอาชีพชอบๆ งานชอบก็ว่างานการประกอบอาชีพชอบ ทำงานอยู่ในบ้านนี่ว่างานชอบ

พระพุทธเจ้าไม่ว่าอย่างนั้นเลย งานนั้นเป็นงานของโลกเขา ในการหมุนเวียนของโลกเขา งานอันเอก เห็นไหม พระนาคิตะเดินอยู่ในป่า เห็นไหม พระนาคิตะเดินจงกรมอยู่ในป่า “ทุกข์ใจมาก มีแต่เขาไปมีความสุขกัน เราเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ในป่า”

เทวดามายั้งอยู่กลางอากาศ นี่อยู่ในพระไตรปิฎกเหมือนกัน “พวกนั้นเป็นพวกที่ข้องอยู่ในโลก ท่านต่างหากเป็นผู้ที่จะพ้นจากโลก ท่านต่างหากเป็นบุรุษที่ยอดเยี่ยมที่สุด ท่านต่างหากเป็นเอกบุรุษที่จะพ้นออกจากกิเลสได้ พ้นจากพญามารได้”

งานอันนี้ต่างหากเป็นงานประเสริฐ คืนนั้นพระนาคิตะย้อนใจกลับมา วิปัสสนาพ้นเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย

นี่งานอันนี้งานชำระกิเลส งานชำระความเศร้าหมองของใจ งานชำระการสืบต่อ งานชำระที่การเกิดตายเกิดตายที่เป็นไฟท์กันไปหามีเรื่องมีราวกัน ไปกระทบกระทั่งกัน เห็นไหม อยู่ในครอบครัวเดียวกัน รักกันแสนกันก็มีการกระทบกระทั่งกันโดยธรรมดา งานอย่างนี้งานอาศัยพึ่งพากันได้ คนนั้นทำแทน คนนี้ทำแทน งานของโลกเราทำไม่จบ คนอื่นจะทำแทนได้นะ แต่งานของเราไม่มีใครทำแทนได้

จากดาวเคราะห์ ถ้ามีบุญกุศล สามารถทำให้ตัวเองเป็นดาวฤกษ์ได้ แต่ถ้าดาวเคราะห์ในอวกาศนั้นเป็นไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติของมัน แต่ดาวเคราะห์ในหัวใจมันแปรสภาพจากดาวเคราะห์เป็นดาวฤกษ์ได้ ดาวฤกษ์คือดาวที่มันเป็นธรรม เห็นไหม มันเปล่งประกายแสงในใจของมันเอง ใจนั้นกลืนกินธรรมเข้าไปจนใจนั้นเป็นดาวฤกษ์ขึ้นมา พอดาวฤกษ์ขึ้นมาก็รู้จำเพาะตน ดาวฤกษ์รู้ขึ้นมา สิ่งอื่นๆ ที่มืดมิดในใจต้องหมดไปทั้งหมด นี่คือดาวฤกษ์

ครูบาอาจารย์ของเรานี่เป็นดาวฤกษ์ เป็นสิ่งที่พึ่งพาอาศัยได้ เราถึงต้องหวังพึ่งตรงนั้นไง ใจเราเป็นดาวเคราะห์ แต่ก็มีโอกาส เห็นไหม ถึงจะเป็นดวงจันทร์ก็ต้องมีแสงอาทิตย์คอยส่องมาเพื่อความสว่างของใจเรา นี่ธรรมแท้ๆ จะเกิดขึ้นได้ ดาวเคราะห์... (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)